วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554
วิธีการละหมาด 5 เวลา
วิธีการละหมาดของอิสลาม เวลาในการละหมาด ขั้นตอนการละหมาดฟัรดู การละหมาด หรือ สวด (นมาซ หรือ นมัสการ) การละหมาดหรือการนมัสการพระเจ้าคือการแสดงความเคารพต่อพระเจ้า เป็นการปฏิบัติเพื่อแสดงความภักดีต่อพระเจ้า เป็นการปฏิบัติเพื่อแสดงความภักดีต่อพระเจ้า การสำรวมจิตระลึกถึงพระเจ้า การละหมาดเป็นการขัดเกลาจิตให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างพลังให้แข้มแข็ง การสำรวมจิตหรือการทำสมาธิเพื่อมิให้จิตใจวอกแวกไปในเรื่องต่างๆ เป็นภาวะที่จิตใจได้เข้าไปสัมผัสกับความเป็นเอกภาพกับพระเจ้า ทำให้จิตสงบ ตั้งมั่น อดทน ผู้ที่มีความทุกข์และประสบปัญหาชีวิตในด้านต่างๆ การละหมาดเป็นเครื่องช่วยที่ดีที่สุด ทั้งยังฝึกตนเองให้ตรงต่อเวลา มีความรับผิดชอบในหน้าที่ ให้อยู่ในระเบียบวินัย รักษาความสะอาด และยังเป็นการบริหารร่างกายอย่างดียิ่ง หากเป็นการละหมาดรวมยังเป็นการแสดงออกถึงความสามัคคีพร้อมเพรียง ความเสมอภาค และภราดรภาพอีกด้วยการทำละหมาด เป็นกิจที่ต้องทำเป็นประจำในหลายวาระ คือ
วิธีละหมาดอีซา

ละหมาดอีซา มี 4 ร่อกะอัต วิธีปฏิบัติและคำอ่านทุกตอนเหมือนกับการละหมาดดุฮ์ริหรืออัสรีทุกประการเว้นแต่คำอ่านนำและการตั้งเจตนา เท่านั้นที่เปลี่ยนไปตามชื่อของการละหมาด คำอ่านนำละหมาดอีซา คือ

ตั้งเจตนาว่า " ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูอิซา 4 ร่อกะอัตในเวลาเพื่ออัลเลาะห์ตะอาลา "
สำหรับคำแปลโดยละเอียดเกี่ยวกับคำอ่านต่างๆ ให้ดูจากหนังสือ "คำแปลบทละหมาด" ของสมานโยธาสมุทร์จัดพิมพ์โดย ส. วงศ์เสงี่ยม
วิธีละหมาดมัฆริบ
มี 3 ร่อกะอัต ให้ปฏิบัติตามลำดับดังนี้
>> ร่อกะอัตที่ 1
1. ยืนตรง ปฏิบัตเหมือนข้อ 1 ของวิธีละหมาดซุบฮิ แต่ให้เปลี่ยนคำอ่านว่า
อ่านว่า " อู้ซ้อลลี ฟัรด็อล เมาฆ์ริบี้ ซ่าลาซ่าร่อก้าอาตินอ้าดาอันลิ้ลลาฮี่ต้าอาลา "
คำเนียต " ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูมักริบ 3 ร่อกะอัต ในเวลาเพื่ออัลเลาะฮฮ์ตะอาลา" 2. ตักบีร่อตุ้ลเอียะห์รอมโดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮ์ ข้อ 2 แต่เปลี่ยนคำนึกในใจหรือตั้งเจตนา ในขณะตักบีรว่า
ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูมักริบ 3 ร่อกะอัต ในเวลาเพื่ออัลเลาะฮฮ์ตะอาลา
3. อ่านดุอาอ์อิฟติตะฮ์ เหมือนวิธีละหมาดซุบฮิข้อ 3
4. อ่านอะอูซุบิ้ลละฮ์ บิสมิ้ลละฮ์และซุเราะห์ฟาติฮะห์เหมือนวิธีปฏิบัติละหมาดซุบฮิข้อ 4
5. อ่านซูเราะห์ซูเราะห์หนึ่งจากอัลกุรอ่านเหมือนวิธีปฏิบัติละหมาดซุบฮิข้อ 5 หรือจะเปลี่ยนเป็นซูเราะห์อื่นๆก็ได้
6. ตักบีร “ อัลลอฮู่อั๊กบัร “ แล้วก้มร่อเกาะอ์โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิใน ข้อ 6
7. เอี๊ยะติด้าล โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิข้อ 7
8. สุญูดครั้งที่ 1 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิข้อ 8
9. นั่งระหว่าง 2 สุญูด โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิข้อ 9
10. สุญูดครั้งที่ 2 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิข้อ 10
11. เมื่อสุญูดครั้งที่ 2 เสร็จแล้ว จึงลุกขึ้นยืนตรงเอามือกอดอกดังเดิม
จบร่อกะอัตที่ 1 ของละหมาดมักริบ
ร่อกะอัตที่ 2
12. อ่านบิสมิ้ลละฮ์ ซูเราะห์ฟาติฮะห์และอามีน โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิใน ข้อ4
13. อ่านซูเราะห์ใดๆจากอัลกุรอ่าน หรืออ่านซูเราะห์อัลอิคลาส เหมือนการละหมาดซุบฮิในข้อ 13
14. ตักบีร แล้วร่อเกาะอ์ โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 6
15. เอี๊ยะติด้าล โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 7
16. สุญูดครั้งที่ 1 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 8
17. นั่งระหว่าง 2 สุญูด โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 9
18. สุญูดครั้งที่ 2 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 10
19. เมื่อเงยจากสุญูดครั้งที่ 2 พร้อมกับกล่าว อัลลอฮู่อั๊กบัร ให้นั่งลงเพื่ออ่านตะฮียัต
สำหรับการละหมาดมักริบ การนั่งตะฮียัตในร่อกะอัตที่ 2 นี้เรียกว่าการนั่งตะฮียัตคร้งแรก ส่วนวิธีนั่งก็เหมือนกับการนั่งระหว่าง 2 สุญูด คือให้เอาตาตุ่มเท้าซ้ายรองก้น ให้ท้องนิ้วของเท้าขวายันพื้น การนั่งวิธีนี้เรียกว่าการนั่ง อิฟติรอส แล้วจึงอ่านคำตะฮียัต
20. คำอ่านตะฮียัต ครั้งแรกของการละหมาดมักริบในร่อกะอัตที่ 2 ให้อ่านเหมือนกับคำอ่านตะฮียัตของการละหมาดซุบฮิในข้อ 21 โดยไม่ต้องอ่านซ่อละหวาด
จบร่อกะอัตที่ 2 ของละหมาดมักริบ
>> ร่อกะอัตที่ 3
21. เมื่ออ่านตะฮียัตครั้งแรกจบแล้ว จึงลุกขึ้นยืนตรงยกมือทั้งสองเสมอไหล่กล่าว อัลลอฮู่อั๊กบัร แล้วเอามือลงมากอดอกดังเดิม
22. อ่านบิสมิ้ลละห์ ซูเราะห์ฟาติฮะห์ และอามีนเหมือนกับละหมาดซุบฮิในข้อ 4
23. ไม่ต้องอ่านซูเราะห์ใดๆอีกในร่อกะอัตที่ 3
24. ตักบีรแล้วร่อเกาะอ์ โดยปฏิบัติเหมือนกับละหมาดซุบฮิในข้อ 6
25. เอี๊ยะติด้าล โดยปฏิบัติเหมือนการละหมาดซุบฮิในข้อ 7
26. สุญูดครั้งที่ 1 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 8
27. นั่งระหว่าง 2 สุญูด โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 9
28. สุญูดครั้งที่ 2 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 10
29. เมื่อเงยจากสุญูดครั้งที่ 2 พร้อมกับกล่าว อัลลอฮู่อั๊กบัร ให้นั่งลงเพื่ออ่านตะฮียัตครั้งสุดท้ายโดยนั่งเหมือนกับการนั่งอ่านตะฮียัตครั้งสุดท้ายของการละหมาดซุบฮีในข้อ20 30. อ่านตะฮียัต เหมือนการละหมาดซุบฮิในข้อ 21
31. แล้วอ่านซ่อละหวาดและดุอาเหมือนการละหมาดซุบฮิในข้อ 22
32. เสร็จแล้วจึงกล่าวสลามและผินหน้าโดยปฏิบัติเหมือนการละหมาดซุบฮิในข้อ 23
จบการละหมาดมักริบ
มี 3 ร่อกะอัต ให้ปฏิบัติตามลำดับดังนี้
>> ร่อกะอัตที่ 1
1. ยืนตรง ปฏิบัตเหมือนข้อ 1 ของวิธีละหมาดซุบฮิ แต่ให้เปลี่ยนคำอ่านว่า

อ่านว่า " อู้ซ้อลลี ฟัรด็อล เมาฆ์ริบี้ ซ่าลาซ่าร่อก้าอาตินอ้าดาอันลิ้ลลาฮี่ต้าอาลา "
คำเนียต " ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูมักริบ 3 ร่อกะอัต ในเวลาเพื่ออัลเลาะฮฮ์ตะอาลา"
ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูมักริบ 3 ร่อกะอัต ในเวลาเพื่ออัลเลาะฮฮ์ตะอาลา
3. อ่านดุอาอ์อิฟติตะฮ์ เหมือนวิธีละหมาดซุบฮิข้อ 3
4. อ่านอะอูซุบิ้ลละฮ์ บิสมิ้ลละฮ์และซุเราะห์ฟาติฮะห์เหมือนวิธีปฏิบัติละหมาดซุบฮิข้อ 4
5. อ่านซูเราะห์ซูเราะห์หนึ่งจากอัลกุรอ่านเหมือนวิธีปฏิบัติละหมาดซุบฮิข้อ 5 หรือจะเปลี่ยนเป็นซูเราะห์อื่นๆก็ได้
6. ตักบีร “ อัลลอฮู่อั๊กบัร “ แล้วก้มร่อเกาะอ์โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิใน ข้อ 6
7. เอี๊ยะติด้าล โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิข้อ 7
8. สุญูดครั้งที่ 1 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิข้อ 8
9. นั่งระหว่าง 2 สุญูด โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิข้อ 9
10. สุญูดครั้งที่ 2 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิข้อ 10
11. เมื่อสุญูดครั้งที่ 2 เสร็จแล้ว จึงลุกขึ้นยืนตรงเอามือกอดอกดังเดิม
จบร่อกะอัตที่ 1 ของละหมาดมักริบ
ร่อกะอัตที่ 2
12. อ่านบิสมิ้ลละฮ์ ซูเราะห์ฟาติฮะห์และอามีน โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิใน ข้อ4
13. อ่านซูเราะห์ใดๆจากอัลกุรอ่าน หรืออ่านซูเราะห์อัลอิคลาส เหมือนการละหมาดซุบฮิในข้อ 13
14. ตักบีร แล้วร่อเกาะอ์ โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 6
15. เอี๊ยะติด้าล โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 7
16. สุญูดครั้งที่ 1 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 8
17. นั่งระหว่าง 2 สุญูด โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 9
18. สุญูดครั้งที่ 2 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 10
19. เมื่อเงยจากสุญูดครั้งที่ 2 พร้อมกับกล่าว อัลลอฮู่อั๊กบัร ให้นั่งลงเพื่ออ่านตะฮียัต
สำหรับการละหมาดมักริบ การนั่งตะฮียัตในร่อกะอัตที่ 2 นี้เรียกว่าการนั่งตะฮียัตคร้งแรก ส่วนวิธีนั่งก็เหมือนกับการนั่งระหว่าง 2 สุญูด คือให้เอาตาตุ่มเท้าซ้ายรองก้น ให้ท้องนิ้วของเท้าขวายันพื้น การนั่งวิธีนี้เรียกว่าการนั่ง อิฟติรอส แล้วจึงอ่านคำตะฮียัต
20. คำอ่านตะฮียัต ครั้งแรกของการละหมาดมักริบในร่อกะอัตที่ 2 ให้อ่านเหมือนกับคำอ่านตะฮียัตของการละหมาดซุบฮิในข้อ 21 โดยไม่ต้องอ่านซ่อละหวาด
จบร่อกะอัตที่ 2 ของละหมาดมักริบ
>> ร่อกะอัตที่ 3
21. เมื่ออ่านตะฮียัตครั้งแรกจบแล้ว จึงลุกขึ้นยืนตรงยกมือทั้งสองเสมอไหล่กล่าว อัลลอฮู่อั๊กบัร แล้วเอามือลงมากอดอกดังเดิม
22. อ่านบิสมิ้ลละห์ ซูเราะห์ฟาติฮะห์ และอามีนเหมือนกับละหมาดซุบฮิในข้อ 4
23. ไม่ต้องอ่านซูเราะห์ใดๆอีกในร่อกะอัตที่ 3
24. ตักบีรแล้วร่อเกาะอ์ โดยปฏิบัติเหมือนกับละหมาดซุบฮิในข้อ 6
25. เอี๊ยะติด้าล โดยปฏิบัติเหมือนการละหมาดซุบฮิในข้อ 7
26. สุญูดครั้งที่ 1 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 8
27. นั่งระหว่าง 2 สุญูด โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 9
28. สุญูดครั้งที่ 2 โดยปฏิบัติเหมือนวิธีละหมาดซุบฮิในข้อ 10
29. เมื่อเงยจากสุญูดครั้งที่ 2 พร้อมกับกล่าว อัลลอฮู่อั๊กบัร ให้นั่งลงเพื่ออ่านตะฮียัตครั้งสุดท้ายโดยนั่งเหมือนกับการนั่งอ่านตะฮียัตครั้งสุดท้ายของการละหมาดซุบฮีในข้อ20 30. อ่านตะฮียัต เหมือนการละหมาดซุบฮิในข้อ 21
31. แล้วอ่านซ่อละหวาดและดุอาเหมือนการละหมาดซุบฮิในข้อ 22
32. เสร็จแล้วจึงกล่าวสลามและผินหน้าโดยปฏิบัติเหมือนการละหมาดซุบฮิในข้อ 23
จบการละหมาดมักริบ
วิธีละหมาดอัสรี
ละหมาดอัสรี มี 4 ร่อกะอัต วิธีปฏิบัติและคำอ่านทุกตอนเหมือนการละหมาดดุฮ์รีทุกประการ เว้นแต่คำอ่านนำและการตั้งเจตนาหรือนึกในใจตอนเริ่มละหมาดเท่านั้น ที่เปลี่ยนไปตามชื่อของละหมาด คือ
คำอ่านนำละหมาดอัสรี

ตั้งเจตนาหรือนึกในใจว่า " ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูอัสรี 4 ร่อกะอัตในเวลาเพื่ออัลเลาะห์ตะอาลา "
ละหมาดอีซา มี 4 ร่อกะอัต วิธีปฏิบัติและคำอ่านทุกตอนเหมือนกับการละหมาดดุฮ์ริหรืออัสรีทุกประการเว้นแต่คำอ่านนำและการตั้งเจตนา เท่านั้นที่เปลี่ยนไปตามชื่อของการละหมาด คำอ่านนำละหมาดอีซา คือ

ตั้งเจตนาว่า " ข้าพเจ้าละหมาดฟัรดูอิซา 4 ร่อกะอัตในเวลาเพื่ออัลเลาะห์ตะอาลา "
สำหรับคำแปลโดยละเอียดเกี่ยวกับคำอ่านต่างๆ ให้ดูจากหนังสือ "คำแปลบทละหมาด" ของสมานโยธาสมุทร์จัดพิมพ์โดย ส. วงศ์เสงี่ยม
ละหมาดสุนัต
ละหมาดสุนัต คือละหมาดที่ศาสนาไม่บังคับ ใครจะละหมาดหรือไม่ละหมาดก็ได้ตามใจสมัครแต่การละหมาดสุนัตก็มีความสำคัญมาก เพราะเป็นการทดแทนความบกพร่องของละหมาดฟัรดู และเพิ่มผลบุญของการละหมาดฟัรดูให้ดียิ่งขึ้น
ท่านนาบีมุฮัมมัด ซลฺ ได้กล่าวไว้มีความว่า
“ สิ่งแรกของบรรดาการงานของมนุษย์ที่จะต้องถูกสอบสวนในวันกิยามะฮ์ คือการทำละหมาด โดยพระผู้เป็นเจ้าของเราจะมีโองการยังมะลาอีกะฮ์ว่า จงไต่สวนการละหมาดของบ่าวของข้าซิว่าถูกต้องก็จงบันทึกให้เขาว่าสมบูรณ์ หากละหมาดของเขามีข้อบกพร่อง ก็จงพิจารณาซิว่า เขาละหมาดสุนัตไว้หรือเปล่า หากเขาละหมาดสุนัตไว้ ก็จงบันทึกว่าละหมาดฟัรดูของเขาสมบูรณ์ถูกต้องเพราะผลของการละหมาดสุนัตของเขาและให้ถือว่าการงานอื่นๆ ของเขา ก็สมบูรณ์ถูกต้องด้วย
การละหมาดวันศุกร์
การละหมาดวันศุกร์
ละหมาดศุกร์

ศาสนาอิสลามได้บัญญัติให้การละหมาดวันศุกร์เป็นสิ่งจำเป็นแก่มุสลิมที่เป็นชายทุกคน ทั้งนี้เป็นการชุมนุมเพื่อประกอบศาสนกิจประจำสัปดาห์ของบุคคลในชุมชนนั้น โดยให้อีหม่ามหรือคอเต็บแสดงธรรมเพื่ออบรมสั่งสอนผู้มาละหมาดให้มีความสามัคคีและยำเกรงต่ออัลลอฮ์การละหมาดวันศุกร์มีส่วนประกอบ 2 ส่วน
1. การอ่านคุฏบะฮ์ 2 คุฏบะฮ์
2. การละหมาด 2 รอกาอัต
ผู้ที่วาญิบละหมาดวันศุกร์
1. เป็นมุสลิมชาย
2. เป็นอิสระ
3. บรรลุศาสนภาวะ
4. มีสติสัมปชัญญะ
5. เป็นผู้มีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์
6. เป็นบุคคลที่อยู่ในชุมชนนั้น
คุณค่าของการละหมาดวันศุกร์
1. เป็นการแสดงออกถึงความเสียสละต่ออัลลอฮฺ
2. เป็นการแสดงออกซึ่งความจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ
3. เป็นการแสดงความสามัคคีของชุมชน
การอาบน้ำละหมาด
ส่วนคำว่า “วะฎูอฺ” นั้น หมายถึง น้ำที่ใช้ในการอาบน้ำละหมาดนั่นเอง
2. น้ำละหมาดช่วยทำให้ส่วนที่ถูกล้าง ถูกอาบ มีความสะอาดพ้นจากบาปกรรมเล็ก ๆ ในส่วนนั้น (จากบันทึกของ มาลิก มุสลิม และอัตติรฺมิซีย์)
3. น้ำละหมาดคือเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์อันแสดงถึงการเป็นประชาชาติของ
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในวันฟื้นคืนชีพ (วันกิยามะฮฺ)
1. การตั้งเจตนา (เนียต)
เพราะการอาบน้ำละหมาดนั้นเป็นอิบาดะฮฺอย่างหนึ่ง กล่าวคือ อิบาดะฮฺจะใช้ไม่ได้ และไม่นับว่าเป็นอิบาดะฮฺตามหลักศาสนา เว้นแต่เมื่อมีการตั้งเจตนาเท่านั้น
ประเด็นสำคัญ เวลาของการตั้งเจตนา (เนียต) คือ ขณะเมื่อน้ำถูกส่วนหนึ่งส่วนใดของใบหน้า เพราะการล้างหน้าคือการเริ่มต้นของการอาบน้ำละหมาด
2. ล้างใบหน้าให้ทั่ว
ขอบเขตของใบหน้าตามยาวคือ ตั้งแต่โคนผมด้านหน้าจนถึงใต้คาง และขอบเขตของใบหน้าตามกว้างคือ ตั้งแต่หูด้านหนึ่งจนถึงหูอีกด้านหนึ่ง
ประเด็นสำคัญ จำเป็นต้องล้างอวัยวะทุกส่วนที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า เช่น ขนคิ้ว หนวดและเครา ทั้งภายนอกและภายใน เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้า
ยกเว้นเคราที่หนามาก (ซึ่งคู่สนทนาไม่สามารถมองเห็นผิวหนังที่อยู่ใต้เครา) ในกรณีเช่นนี้ การล้างเคราแต่เพียงภายนอกก็ถือว่าเพียงพอแล้ว โดยไม่ต้องล้างให้ถึงภายใน
3. ล้างมือทั้งสองข้างจนถึงข้อศอก จำเป็นต้องล้างให้ทั่วเส้นขนและผิวหนัง
ประเด็นสำคัญ ถ้าหากใต้เล็บมีสิ่งสกปรกที่กันไม่ให้น้ำเข้าไปถึงภายในหรือสวมแหวนที่กันไม่ให้น้ำเข้าไปถึงผิวหนังที่อยู่ใต้แหวน การอาบน้ำละหมาดนั้นถือว่าใช้ไม่ได้
4. เช็ดบางส่วนของศีรษะ
มีหะดีษเล่าจากอัลมุฆีเราะฮฺ บุตรของชั๊วะอฺบะฮฺ ได้รายงานว่า
“ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่วะซั่ลลัม ได้อาบน้ำละหมาดและได้เช็ดขม่อม (นาศิยะฮฺ) ของท่าน และเช็ดบนผ้าโพกศีรษะของท่าน” รายงานโดยมุสลิม
ประเด็นสำคัญ การล้างหรือเช็ดทั้งหมดของศีรษะนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้
5. ล้างเท้าทั้งสองข้างจนถึงตาตุ่ม กล่าวคือ ล้างเท้าพร้อมทั้งล้างตาตุ่มด้วย
ประเด็นสำคัญ จำเป็นต้องล้างให้ทั่วเท้าทั้งสองข้าง ตลอดจนรอยแตกและซอกต่าง ๆ ที่เล็บหรือแม้แต่ใต้ขนก็ตาม
6. เรียบเรียงตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ การอาบน้ำละหมาดโดยไม่เรียบเรียงตามลำดับนั้น ถือว่าใช้ไม่ได้
2. ล้างฝ่ามือทั้งสอง จนถึงข้อมือทั้งสอง
3. เอาน้ำบ้วนปากให้สะอาด
4. สูดน้ำเข้าจมูกหลังจากบ้วนปาก แล้วสั่งออก
5. เอาน้ำเช็ดให้ทั่วศีรษะ
6. เอาน้ำเช็ดใบหูทั้งสองให้ทั่วทั้งภายนอกและภายใน
7. ให้สางเคราที่หนาโดยวิธีเสยขึ้น
8. ให้สางนิ้วมือทั้งสอง โดยเอามือซ้ายทับลงบนหลังมือขวา แล้วเอานิ้วมือซ้ายสางในซอกนิ้วหลังมือขวา แล้วสลับกัน และสางนิ้วเท้าทั้งสองโดยเอานิ้วก้อยมือซ้ายสอดเข้าช่องนิ้วก้อยเท้าขวา แล้วดึงขึ้นเรียงตามลำดับจนถึงช่องนิ้วก้อยเท้าซ้าย
9. ให้กระทำข้างขวาก่อนข้างซ้าย
10. ให้ทำหน่วยละ 3 ครั้ง ในส่วนที่ล้างและเช็ด
11. ให้ทำโดยมีระยะต่อเนื่องกัน ไม่จากกันนานเกินสมควร
1. ใช้น้ำมากหรือน้อยเกินไป
2. กระทำข้างซ้ายก่อนข้างขวา
3. การซับหรือเช็ดน้ำที่ติดอยู่กับอวัยวะส่วนที่อาบน้ำละหมาดให้แห้ง นอกจากจำเป็น
4. สาดน้ำใส่หน้า เพราะถือเป็นการไม่ให้เกียรติ
5. ทำเกินกว่าสามครั้งหรือน้อยกว่าสามครั้ง
6. ขอให้ผู้อื่นช่วยล้างอวัยวะให้ตนโดยไม่มีเหตุอันควร
7. บ้วนปากและสูดน้ำเข้าจมูกลึกเกินไปสำหรับผู้ที่ถือศีลอด
2. หลับโดยก้นไม่แนบชิดกับพื้น
3. หมดสติด้วยเหตุมึนเมา เจ็บป่วย เป็นลมหรือเป็นบ้า
4. กระทบกันระหว่างชายหญิงในส่วนที่เป็นผิวหนังโดยไม่มีของกั้น ซึ่งชายหญิงนั้นศาสนายอมให้แต่งงาน (นิกาฮฺ) กันได้ และมีความรู้สึกทางเพศแล้วทั้งคู่
5. กระทบทวารหนักหรือทวารเบาของตนเองหรือของผู้อื่น ทั้งของคนเป็นหรือของคนตาย จะติดอยู่ที่ร่างกายหรือหลุดออกไปแล้วก็ตาม ด้วยฝ่ามือโดยปราศจากของกั้น
ส่วนการกระทบที่ไม่เป็นสาเหตุให้เสียน้ำละหมาด คือการกระทบกันของผู้ที่ศาสนาห้าม(หะรอม) มิให้นิกาฮฺ ซึ่งได้แก่
1. พ่อแม่ ลูกของลูก ถัดขึ้นไป หรือถัดลงไป
2. พี่น้องร่วมพ่อแม่เดียวกัน หรือร่วมพ่อ หรือร่วมแม่เดียวกัน
3. ลูกของพี่น้องชายหญิง
4. พี่น้องของพ่อหรือของแม่
5. แม่ของภรรยากับลูกเขย พ่อของสามีกับลูกสะใภ้
6. ลูกติดภรรยา หรือลูกติดสามี
7. ผู้ที่ดื่มน้ำนมร่วมกัน
عَنْ عُثْمَانَ بْنِ عَفَّانَ رضي الله عنه قَالَ : قَالَ رَسُولُ اللَّهِ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : ((مَنْ تَوَضَّأَ فَأَحْسَنَ الْوُضُوءَ خَرَجَتْ خَطَايَاهُ مِنْ جَسَدِهِ حَتَّى تَخْرُجَ مِنْ تَحْتِ أَظْفَارِهِ))
رواه مسلم
เล่าจากท่านอุษมาน อิบนิ์ อัฟฟาน ร่อฎิยั่ลลอฮู่อันฮู่ กล่าวว่า ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่วะซั่ลลัม กล่าวว่า “ผู้ใดก็ตามอาบน้ำละหมาดและเขาได้อาบน้ำละหมาดนั้นอย่างสวยงาม แน่นอนบาปต่าง ๆ ของเขาย่อมหลุดร่วงจากร่างกายของเขา จนกระทั่งบาปนั้นจะหลุดร่วงจากซอกเล็บของเขา” บันทึกโดยมุสลิม رواه مسلم
عَنْ أَبِي هُرَيْرَةَ رضي الله عنه أَنَّ النَّبِيَّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ قَالَ : ((وَيْلٌ لِلْأَعْقَابِ مِنْ النَّارِ)) رواه الترمذيُّ
เล่าจากท่านอบีฮู่รอยเราะฮฺ ร่อฎิยั่ลลอฮู่อันฮู่ จากท่านนบี ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่วะซั่ลลัม กล่าวว่า “ความวิบัติจากไฟนรกย่อมประสบแด่เจ้าของส้นเท้า (เมื่ออาบน้ำละหมาด และล้างเท้าไม่เกลี้ยง)” บันทึกโดยอัตติรฺมิซีย์فَضاَئِلُ الْوُضُوْءِคุณค่าของการอาบน้ำละหมาด
1. น้ำละหมาดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การละหมาดใช้ได้สมบูรณ์ (จากบันทึกของอัลบุคอรี มุสลิม และอัตติรฺมิซีย์)2. น้ำละหมาดช่วยทำให้ส่วนที่ถูกล้าง ถูกอาบ มีความสะอาดพ้นจากบาปกรรมเล็ก ๆ ในส่วนนั้น (จากบันทึกของ มาลิก มุสลิม และอัตติรฺมิซีย์)
3. น้ำละหมาดคือเครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์อันแสดงถึงการเป็นประชาชาติของ
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในวันฟื้นคืนชีพ (วันกิยามะฮฺ)
فَرَائِضُ الْوُضُوْءِ سِتَّةٌ
สิ่งจำเป็น (ฟัรฺดู) ต้องปฏิบัติในการอาบน้ำละหมาดมี 6 ประการ คือ
สิ่งจำเป็น (ฟัรฺดู) ต้องปฏิบัติในการอาบน้ำละหมาดมี 6 ประการ คือ
1. การตั้งเจตนา (เนียต)
เพราะการอาบน้ำละหมาดนั้นเป็นอิบาดะฮฺอย่างหนึ่ง กล่าวคือ อิบาดะฮฺจะใช้ไม่ได้ และไม่นับว่าเป็นอิบาดะฮฺตามหลักศาสนา เว้นแต่เมื่อมีการตั้งเจตนาเท่านั้น
ประเด็นสำคัญ เวลาของการตั้งเจตนา (เนียต) คือ ขณะเมื่อน้ำถูกส่วนหนึ่งส่วนใดของใบหน้า เพราะการล้างหน้าคือการเริ่มต้นของการอาบน้ำละหมาด
2. ล้างใบหน้าให้ทั่ว
ขอบเขตของใบหน้าตามยาวคือ ตั้งแต่โคนผมด้านหน้าจนถึงใต้คาง และขอบเขตของใบหน้าตามกว้างคือ ตั้งแต่หูด้านหนึ่งจนถึงหูอีกด้านหนึ่ง
ประเด็นสำคัญ จำเป็นต้องล้างอวัยวะทุกส่วนที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า เช่น ขนคิ้ว หนวดและเครา ทั้งภายนอกและภายใน เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของใบหน้า
ยกเว้นเคราที่หนามาก (ซึ่งคู่สนทนาไม่สามารถมองเห็นผิวหนังที่อยู่ใต้เครา) ในกรณีเช่นนี้ การล้างเคราแต่เพียงภายนอกก็ถือว่าเพียงพอแล้ว โดยไม่ต้องล้างให้ถึงภายใน
3. ล้างมือทั้งสองข้างจนถึงข้อศอก จำเป็นต้องล้างให้ทั่วเส้นขนและผิวหนัง
ประเด็นสำคัญ ถ้าหากใต้เล็บมีสิ่งสกปรกที่กันไม่ให้น้ำเข้าไปถึงภายในหรือสวมแหวนที่กันไม่ให้น้ำเข้าไปถึงผิวหนังที่อยู่ใต้แหวน การอาบน้ำละหมาดนั้นถือว่าใช้ไม่ได้
4. เช็ดบางส่วนของศีรษะ
มีหะดีษเล่าจากอัลมุฆีเราะฮฺ บุตรของชั๊วะอฺบะฮฺ ได้รายงานว่า
“ท่านร่อซูลุ่ลลอฮฺ ศ๊อลลั่ลลอฮู่อะลัยฮี่วะซั่ลลัม ได้อาบน้ำละหมาดและได้เช็ดขม่อม (นาศิยะฮฺ) ของท่าน และเช็ดบนผ้าโพกศีรษะของท่าน” รายงานโดยมุสลิม
ประเด็นสำคัญ การล้างหรือเช็ดทั้งหมดของศีรษะนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้
5. ล้างเท้าทั้งสองข้างจนถึงตาตุ่ม กล่าวคือ ล้างเท้าพร้อมทั้งล้างตาตุ่มด้วย
ประเด็นสำคัญ จำเป็นต้องล้างให้ทั่วเท้าทั้งสองข้าง ตลอดจนรอยแตกและซอกต่าง ๆ ที่เล็บหรือแม้แต่ใต้ขนก็ตาม
6. เรียบเรียงตามลำดับ
ประเด็นสำคัญ การอาบน้ำละหมาดโดยไม่เรียบเรียงตามลำดับนั้น ถือว่าใช้ไม่ได้
سُنَنُ الوُضُوْءِ إِحدَى عَشَرَสุนัตของการอาบน้ำละหมาด มี 11 ประการ
1. ให้อ่าน “บิสมิ่ลลาฮิรฺเราะห์มานิรฺร่อฮีม” ขณะเมื่อเริ่มอาบน้ำละหมาด เมื่อล้างมือ2. ล้างฝ่ามือทั้งสอง จนถึงข้อมือทั้งสอง
3. เอาน้ำบ้วนปากให้สะอาด
4. สูดน้ำเข้าจมูกหลังจากบ้วนปาก แล้วสั่งออก
5. เอาน้ำเช็ดให้ทั่วศีรษะ
6. เอาน้ำเช็ดใบหูทั้งสองให้ทั่วทั้งภายนอกและภายใน
7. ให้สางเคราที่หนาโดยวิธีเสยขึ้น
8. ให้สางนิ้วมือทั้งสอง โดยเอามือซ้ายทับลงบนหลังมือขวา แล้วเอานิ้วมือซ้ายสางในซอกนิ้วหลังมือขวา แล้วสลับกัน และสางนิ้วเท้าทั้งสองโดยเอานิ้วก้อยมือซ้ายสอดเข้าช่องนิ้วก้อยเท้าขวา แล้วดึงขึ้นเรียงตามลำดับจนถึงช่องนิ้วก้อยเท้าซ้าย
9. ให้กระทำข้างขวาก่อนข้างซ้าย
10. ให้ทำหน่วยละ 3 ครั้ง ในส่วนที่ล้างและเช็ด
11. ให้ทำโดยมีระยะต่อเนื่องกัน ไม่จากกันนานเกินสมควร
ماَ يُسَنُّ بَعْدَ الْوُضُوْءِ
ข้อควรปฏิบัติหลังจากอาบน้ำละหมาด
เมื่ออาบน้ำละหมาดเสร็จแล้ว ให้ผินหน้าไปทางกิบละฮฺ และขอดุอาอฺดังต่อไปนี้ข้อควรปฏิบัติหลังจากอาบน้ำละหมาด
أَشْهَدُ أَنْ لاَ إِلَهَ إِلاَّ اللهُ وَحْدَهُ لاَ شَرِيْكَ لَهُ ، وَأَشْهَدُ أَنَّ مُحَمَّدًا عَبْدُهُ وَرَسُوْلُهُ
اَللّهُمَّ اجْعَلْنِيْ مِنَ التَّوَّابِيْنَ وَاجْعَلْنِيْ مِنَ الْمُتَطَهِّرِيْنَ وَاجْعَلْنِيْ مِنْ عِبَادِكَ الصَّالِحِيْنَ
“ข้าพเจ้าปฏิญาณตนว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากอัลลอฮฺเท่านั้นที่ปราศจากภาคี และข้าพเจ้าขอปฏิญาณตนว่าท่านนบีมู่ฮำมัดเป็นบ่าวและศาสนทูตของพระองค์ โอ้อัลลอฮฺ โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในจำนวนผู้สำนึกผิด และโปรดกรุณาให้ข้าพระองค์อยู่ในจำนวนผู้สะอาดบริสุทธิ์ และโปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในจำนวนบ่าวผู้ประพฤติดีของพระองค์ด้วยเถิด”اَللّهُمَّ اجْعَلْنِيْ مِنَ التَّوَّابِيْنَ وَاجْعَلْنِيْ مِنَ الْمُتَطَهِّرِيْنَ وَاجْعَلْنِيْ مِنْ عِبَادِكَ الصَّالِحِيْنَ
(مَكْرُوْهَاتُ الْوُضُوْءِ)
การกระทำที่น่ารังเกียจ (มักโระฮฺ) ในการอาบน้ำละหมาด
การกระทำที่น่ารังเกียจ (มักโระฮฺ) ในการอาบน้ำละหมาดมีหลายประการ ได้แก่การกระทำที่น่ารังเกียจ (มักโระฮฺ) ในการอาบน้ำละหมาด
1. ใช้น้ำมากหรือน้อยเกินไป
2. กระทำข้างซ้ายก่อนข้างขวา
3. การซับหรือเช็ดน้ำที่ติดอยู่กับอวัยวะส่วนที่อาบน้ำละหมาดให้แห้ง นอกจากจำเป็น
4. สาดน้ำใส่หน้า เพราะถือเป็นการไม่ให้เกียรติ
5. ทำเกินกว่าสามครั้งหรือน้อยกว่าสามครั้ง
6. ขอให้ผู้อื่นช่วยล้างอวัยวะให้ตนโดยไม่มีเหตุอันควร
7. บ้วนปากและสูดน้ำเข้าจมูกลึกเกินไปสำหรับผู้ที่ถือศีลอด
(نَوَاقِضُ الْوُضُوْءِ خَمْسَةٌ)เหตุที่ทำให้เสียน้ำละหมาดมี 5 ประการ
1. มีสิ่งใด ๆ ออกมาจากทวารหนักหรือทวารเบา2. หลับโดยก้นไม่แนบชิดกับพื้น
3. หมดสติด้วยเหตุมึนเมา เจ็บป่วย เป็นลมหรือเป็นบ้า
4. กระทบกันระหว่างชายหญิงในส่วนที่เป็นผิวหนังโดยไม่มีของกั้น ซึ่งชายหญิงนั้นศาสนายอมให้แต่งงาน (นิกาฮฺ) กันได้ และมีความรู้สึกทางเพศแล้วทั้งคู่
5. กระทบทวารหนักหรือทวารเบาของตนเองหรือของผู้อื่น ทั้งของคนเป็นหรือของคนตาย จะติดอยู่ที่ร่างกายหรือหลุดออกไปแล้วก็ตาม ด้วยฝ่ามือโดยปราศจากของกั้น
ข้อควรจำ
ส่วนการกระทบที่ไม่เป็นสาเหตุให้เสียน้ำละหมาด คือการกระทบกันของผู้ที่ศาสนาห้าม(หะรอม) มิให้นิกาฮฺ ซึ่งได้แก่
1. พ่อแม่ ลูกของลูก ถัดขึ้นไป หรือถัดลงไป
2. พี่น้องร่วมพ่อแม่เดียวกัน หรือร่วมพ่อ หรือร่วมแม่เดียวกัน
3. ลูกของพี่น้องชายหญิง
4. พี่น้องของพ่อหรือของแม่
5. แม่ของภรรยากับลูกเขย พ่อของสามีกับลูกสะใภ้
6. ลูกติดภรรยา หรือลูกติดสามี
7. ผู้ที่ดื่มน้ำนมร่วมกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)